สวัสดีครับท่านผู้ติดตาม Stakehow ทุกท่าน ถ้าพูดถึงการเล่นไพ่ที่ได้รับความนิยม และมีกติกาการเล่นเป็นสากล อาจจะทำให้คุณนึกถึงไพ่หลายประเภท แต่เชื่อว่าถ้าพูดถึงเกมไพ่ 21 แต้มขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณจะรู้ได้ทันทีว่านั่นคือไพ่ แบล็คแจ็ค ซึ่งถือว่าเป็นเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมจนติดอันดับของ 1 ใน 3 เกมไพ่ที่ผู้เล่นพนันทั่วโลกชื่นชอบที่สุด ดังนั้นถ้าคุณสนใจเกมไพ่แบล็คแจ็ค คุณสามารถตามดูรายละเอียดของไพ่แบล็คแจ็ค ได้จากบทความด้านล่างนี้
แบล็คแจ็ค คืออะไร
แบล็คแจ็คเป็นเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเกมหนึ่ง มีผู้เล่นมากมายทั่วโลกที่ชื่นชอบเกมนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในเกมคาสิโนที่จะสามารถเอาชนะได้ง่าย และรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับรูเล็ตออนไลน์ และบาคาร่าออนไลน์ โดยนี่จะกลายเป็นหนึ่งในเกมโปรดของคุณในไม่ช้าหากได้ลองเล่นดูสักครั้ง
สำหรับความนิยมของไพ่แบล็คแจ็คถือกำเนิดขึ้นในประเทศอเมริกาที่มีเล่นกันอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1800 โดยให้อัตราการจ่ายสูงถึง 1:10 แต่จะต้องเป็นการชนะด้วยไพ่ 21 แต้มเพียงแค่ 2 ใบแรกเท่านั้นจึงจะสามารถรับเงินเดิมพันไปครอบครองได้
ซึ่งด้วยกติกาที่ดูว่าน่าจะยากจึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมในช่วงแรก ต่อมาจึงได้ปรับเปลี่ยนกติกาใหม่ที่จะสามารถชนะ 21 แต้มได้ทั้งแบบ 2 ใบและ 3 ใบขึ้นไป รวมไปถึงการหาคนที่มีแต้มใกล้เคียงมากที่สุดเป็นผู้ชนะ จึงทำให้แบล็คแจ็คเริ่มมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางมากขึ้นและกลายมาเป็นเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
กติกาไพ่แบล็คแจ็คที่มือใหม่ควรรู้
กติกาของไพ่แบล็คแจ็คนั้นถือว่าไม่ยุ่งยากจนเกินไป เพราะเมื่อทางดีลเลอร์หรือเจ้ามือแจกไพ่ให้กับคุณจนครบ 2 ใบแล้ว ถ้าแต้มภายในมือของคุณครบ 21 พอดี คุณสามารถแบล็คแจ็คและชนะเดิมพันพร้อมกินเงินคนทั้งวงได้ทันที
แต่ถ้าแต้มของคุณไม่ถึงคุณสามารถเรียกไพ่เพิ่มกับทางเจ้ามือได้อย่างไม่อั้น จนกว่าแต้มของคุณจะครบ 21 หรือใกล้เคียง 21 แต้มมากที่สุด แต่ทั้งนี้แต้มจะต้องไม่เกิน 21 แต้มเด็ดขาด ถ้าเกินเมื่อใดจะถือว่าแพ้และผู้เล่นคนนั้นจะจบเกม ไม่ต้องลุ้นต่อ
การนับแต้ม
วิธีการอ่านค่าแต้มไพ่แบล็คแจ็ค โดยหลักการแล้วมีความคล้ายคลึงกับเกมโป๊กเกอร์ ซึ่งไพ่แต่ละใบจะมีแต้มตามหน้าไพ่ ดังนี้
- A มีค่าเท่ากับ 1 หรือ 11 แต้ม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับไพ่ A กับไพ่ 8 จะนับเป็น 9 แต้ม แต่ถ้าหากได้ไพ่ A กับไพ่ Q จะนับแต้มเป็น 21 แต้ม
- ไพ่ 2-9 มีค่าตามหน้าไพ่
- ไพ่ 10 , J , Q , K มีค่าเท่ากับ 10
คำศัพท์ที่ถูกใช้ภายในเกมแบล็คแจ็คมากที่สุด
อีกหนึ่งเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้วิธีการเล่น และกติกา คือเรื่องของคำศัพท์ที่มักจะถูกใช้ภายในเกมไพ่แบล็คแจ็คมากที่สุด ยิ่งถ้าคุณเล่นกับคาสิโนออนไลน์ด้วยแล้ว คุณยิ่งต้องรู้คำศัพท์เหล่านี้ว่ามีความหมายอย่างไร เพราะถือว่าเป็นศัพท์สากลที่ถูกใช้ภายในคาสิโนกันมาอย่างยาวนาน เมื่อคำศัพท์เหล่านี้เกิดขึ้นผู้เล่นพนันจะรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ใด ดังนั้นลองมาทำความรู้จักกับศัพท์ไพ่แบล็คแจ็ค ดังนี้
Hit
คือการจั่วไพ่เพิ่ม หากผู้เล่นกดปุ่ม Hit จะทำให้ผู้เล่นได้รับไพ่มาเพิ่มอีก 1 ใบเพื่อเพิ่มแต้มในมือของผู้เล่นให้เข้าใกล้ 21 แต้มมากขึ้นกว่าเดิม โดยในกรณีนี้ไพ่ของผู้เล่นจะต้องมีแต้มน้อยกว่า 21 แต้ม ผู้เล่นจึงจะสามารถเลือกที่จะเพิ่มไพ่ได้
ส่วนไพ่ของเจ้ามือ มีข้อจำกัดไว้ในกรณีที่ไพ่ทั้ง 2 ใบของเจ้ามือเท่ากับ 16 แต้มหรือต่ำกว่า 16 แต้ม ซึ่งเจ้ามือจำเป็นต้องจั่วไพ่ แต่หากไพ่ของเจ้ามือเท่ากับ 17 แต้ม หรือมากกว่า 17 แต้ม ก็จะไม่สามารถจั่วไพ่ได้อีกครับ
Stand
คือการพัก หรือการขอหยุดไพ่เพราะได้แต้มที่น่าพึงพอใจแล้ว หรือคุณได้แต้มครบ 21 แบบจั่วไพ่หลายใบคุณจึงทำการขอ Stand สำหรับความหมายของพนันไทยอาจจะหมายถึงการอยู่ หรือการพอแล้วนั่นเอง
Double Down
เป็นรูปแบบของการเพิ่มวงเงินเดิมพันให้มากขึ้น โดยจะเป็นการวางเดิมพันหลังจากการแจกไพ่จนครบ 2 ใบรอบวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ามั่นใจว่าไพ่มีคะแนนที่ดี สามารถชนะเจ้ามือได้ ก็จะเพิ่มวงเงินเดิมพันให้สูงขึ้นได้ โดยการเพิ่มวงเงินเดิมพันนั้นสามารถเพิ่มได้สูงถึง 2 เท่าของยอดเงินที่ลงในครั้งแรกเท่านั้น ซึ่งหลังจากกด Double Down แล้ว ดีลเลอร์จะแจกไพ่เพิ่มให้อีกเพียง 1 ใบเท่านั้นครับ
Split
คือการขอเจ้ามือแยกไพ่ออกเป็น 2 ขา ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากกรณีที่ไพ่ 2 ใบแรกมีแต้มเท่ากัน แต่ถ้าคุณมีแต้มอื่นที่ไม่ใช่แต้มเท่ากันแต่ต้องการจะ Split หรือแยกให้ออกเป็น 2 ขา ก็สามารถทำได้เช่นกัน เมื่อแยกไพ่ออกแล้วจะกลายมาเป็นไพ่ 2 ชุดที่คุณสามารถเรียกไพ่ได้อย่างไม่อั้นจนกว่าจะครบ 21 แต้ม หรือได้แต้มที่ใกล้เคียงกับแต้ม 21 ทั้ง 2 ชุด ได้เช่นกัน
Surrender
คือการหมอบ เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าไพ่ในมืออาจจะแพ้ให้กับเจ้ามือ หรือเป็นไพ่ที่แต้มเกินไปกว่า 21 แล้ว ซึ่งไม่มีทางที่จะชนะได้ คุณสามารถทำ Surrender ได้ทันที เพื่อเป็นการทำให้คนทั้งวงรู้ว่าคุณยอมแพ้แล้วนั่นเองครับ
Insurance
คือรูปแบบของการประกันเงินเดิมพันไม่ให้สูญเสียไปทั้งหมด มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นรู้สึกว่าทางฝ่ายเจ้ามือน่าจะมีโอกาสแบล็คแจ็คได้มากกว่า เพราะการเล่นแบล็คแจ็คส่วนใหญ่แล้วเจ้ามือมักจะเป็นผู้ที่ต้องเปิดไพ่ 1 ใบเพื่อลุ้นผล การเปิดไพ่นี้จะต้องเปิดให้คนทั้งโต๊ะได้เห็น ซึ่งถ้าเปิดออกมาเป็นไพ่ที่จะทำให้ได้ลุ้นว่าอาจจะได้ 21 แต้ม ผู้เล่นสามารถทำการ Insurance หรือซื้อประกันภัยแบล็คแจ็คได้ทันที
เมื่อประกันแล้วถ้าทางฝ่ายของเจ้ามือเกิดแบล็คแจ็คขึ้นมาจริง คุณจะได้เงินคืนแบบเต็มจำนวนที่ประกันไว้ แต่ถ้าเจ้ามือไม่แบล็คแจ็คคุณก็จะเสียเงินเดิมพันนั้นไปทั้งหมด
รูปแบบการวางเดิมพันไพ่ แบล็คแจ็ค
สำหรับการวางเดิมพันของไพ่แบล็คแจ็คนั้น คุณสามารถเลือกที่จะทำการวางเดิมพันได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น 21+3 , Perfect Pair และ Bet Behind ผมจะมาอธิบายการเดิมพันแต่ละรูปแบบอย่างละเอียดให้คุณนั้นเข้าใจมากยิ่งขึ้น ดังนี้
การวางเดิมพันแบบ Perfect Pair
คือ การวางเดิมพันที่ทำให้ท่านนั้นมีโอกาสชนะเพียงแค่ใช้ไพ่ 2 ใบแรกเท่านั้น โดยที่ไพ่ 2 ใบแรกของท่านจะต้องเป็นไพ่คู่ ยกตัวอย่างเช่น ไพ่ 3-3 , ไพ่ 4-4 , ไพ่ 5-5 หรือ ไพ่ 10-10 เป็นต้น
การวางเดิมพันแบบ 21+3
คือการที่ไพ่ในมือของท่านนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการตองเหมือน , สเตรทฟลัช , ตอง , สเตรท หรือฟลัช และหากคุณสามารถที่จะชนะในรูปแบบที่พูดมานี้ได้ คุณจะได้รับอัตราการจ่ายที่เยอะมาก ดังนี้
- ตองเหมือน คือการที่มีไพ่ 3 ใบเหมือนกัน และดอกไพ่ต้องเหมือนกันทั้งหมดทุกใบ ยกตัวอย่างเช่น ได้ไพ่ 2 ข้าวหลามตัด ทั้ง 3 ใบ
- สเตรทฟลัช คือการเรียงกันตามลำดับ และมีไพ่ดอกเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น 2 , 3 , 4 ข้าวหลามตัด เป็นต้น
- ตอง คือการที่มีไพ่ 3 ใบนั้นเหมือนกัน แต่สามารถมีสี และดอกที่ต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่น 5 โพดำ , 5 ดอกจิก และ 5 ข้าวหลามตัด ซึ่งไพ่ทั้ง 3 ใบนั้นมีสีต่างกัน และดอกต่างกันนั่นเองครับ
- สเตรท คือไพ่ในมือนั้นเรียงกันตามลำดับ แต่สามารถมีสี และดอกของไพ่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่น 3 โพแดง , 4 ดอกจิก , 5 โพดำ เป็นต้น
- ฟลัช คือการที่ไพ่ในมือนั้นมีดอกเดียวกันทั้งสามใบ ยกตัวอย่างเช่น 10 โพแดง , 5 โพแดง , 9 โพแดง
การวางเดิมพันแบบ Bet Behind
คือการเดิมพันตามผู้เล่นคนอื่น นั่นก็คือ คุณนั้นจะสามารถอ้างอิงการชนะจากไพ่ของผู้เล่นคนอื่นได้ แต่คุณสามารถกำหนดเงินเดิมพันได้เอง และไม่สามารถบอกให้ผู้เล่นนั้นจั่วไพ่เพิ่ม หรือหยุดเรียกไพ่เพิ่มได้ นั้นก็คือ หากคุณได้วางเดิมพันตามใครแล้ว คุณจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย นอกจากการวางเดิมพันนั่นเองครับ
บริหารความเสี่ยงอย่างไรในเกมแบล็คแจ็ค ให้เล่นง่าย ไม่พลาด
เมื่อคุณเรียนรู้วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค และเข้าใจกติกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องต่อมาที่คุณควรรู้คือการบริหารความเสี่ยง เพื่อทำให้การเล่นแบล็คแจ็คของคุณทำเงินได้ง่าย ปลอดภัย และไม่ผิดพลาดมากจนเกินไป โดยวิธีบริหารความเสี่ยงมีดังต่อไปนี้
1. หากแต้มเริ่มสูงต้องหยุด
การบริหารความเสี่ยงแรก คือเรื่องของแต้มในการลงเดิมพันที่คุณควรต้องหยุดเมื่อรู้ว่าแต้มเริ่มสูงขึ้น สำหรับภายในเกมแบล็คแจ็คนั้นจะชนะกันที่ 21 แต้ม แต่ถ้าแต้มของคุณไม่ถึง 21 ก็ต้องจั่วไพ่ให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุด ดังนั้นเมื่อใดที่แต้มไพ่ของคุณเป็น 17 , 18 , 19 และ 20 คุณควรหยุดการจั่วไพ่เพิ่มทันที แต่ถ้าคุณต้องการดึงเวลา และได้ลุ้นมากขึ้นคุณสามารถดึงไพ่ออกเป็น 2 ขาได้ เพียงแต่ให้ใช้เงื่อนไขของไพ่ทั้ง 2 ใบที่จะต้องมีแต้มสูงทั้งคู่ ยกตัวอย่างเช่น 8 กับ 9 , 8 กับ 10 หรือ 10 กับ K เป็นต้น
2. การซื้อประกันเมื่อไม่มั่นใจ
การซื้อประกันหรือ Insurance จะเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกไม่มั่นใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้ามือโชว์ไพ่ 1 ใบออกมา แล้วเป็นแต้มที่ค่อนข้างสูง หรือเป็นแต้ม A ที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกกังวลว่าเจ้ามืออาจจะได้แบล็คแจ็ค ดังนั้นเมื่อคุณซื้อประกันไว้แล้วเจ้ามือเกิดได้ 21 แต้มจริงคุณจะได้รับเงินประกันคืนแบบเต็มๆ แต่ในขณะเดียวกันถ้าเจ้ามือไม่แบล็คแจ็คคุณก็จะเสียเงินเดิมพันทั้งหมดด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณจะต้องวิเคราะห์ดูให้มั่นใจว่าไพ่ของเจ้ามือจะออกแบล็คแจ็คจริงหรือไม่นั่นเองครับ
3. วิเคราะห์ให้ดี
อีกหนึ่งวิธีช่วยบริหารความเสี่ยงของแบล็คแจ็คได้ดีทำให้คุณพลาดได้น้อยลง คือการวิเคราะห์เจ้ามือ และผู้เล่นด้วยกัน รวมไปถึงการวิเคราะห์ไพ่ของตัวคุณเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเมื่อใดที่คุณได้ไพ่ 2 ใบ แต่กลับได้แต้มที่ไม่เกิน 8 แต้ม ให้คุณทำการขอไพ่ใหม่เรื่อยๆ จนกว่าแต้มจะสูงถึง 16 หรือ 17 แต้มขึ้นไป คุณจึงค่อยหยุด
หรือถ้าคุณได้แต้มรวมเป็น 9 แต้ม และไพ่ของเจ้ามือที่โชว์อยู่บนโต๊ะเป็นแต้ม 3 ไปจนถึง 6 แต้ม ให้คุณรีบลงเงินเดิมพันเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เพื่อเป็นการข่ม และกดดันเจ้ามือ ทั้งยังเป็นการลุ้นไพ่ใบที่ 3 ถ้าเป็นแต้ม 10 ก็จะเท่ากับว่าคุณมี 19 แต้มในมือซึ่งถือว่าอยู่ได้สบาย หรือเมื่อใดที่คุณได้แต้มรวมของไพ่ 2 ใบเป็น 10 แต้มส่วนของเจ้ามือเป็น 2 ไปจนถึง 9 แต้มให้คุณทำการ Double Down ทันที เป็นต้น
ทิ้งท้ายบทความ แบล็คแจ็ค
จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับบทความที่ผมได้อธิบายความหมาย กติกาการเล่นแบล็คแจ็คออนไลน์ สำหรับท่านใดที่ยังเป็นมือใหม่ผมขอแนะนำให้ท่านได้ศึกษาข้อมูลก่อนการเดิมพัน เพื่อผลประโยชน์ของตัวท่านเอง เพราะเกมไพ่แบล็คแจ็คจำเป็นที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจของตัวผู้เล่นพอสมควรครับ สำหรับวันนี้ผมขอตัวลาไปก่อน ไว้พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
หากชอบบทความของเรากดเพิ่ม LINE Stakehowเอาไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงาน พร้อม กดกระดิ่งด้านขวา ล่างของหน้าจอ เพื่อแจ้งเตือนบทความใหม่ๆ จากทางเราได้ครับ สำหรับบทความนี้ผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณที่ติดตาม Stakehow นะครับ สำหรับวันนี้ผมขอตัวลาไปก่อนไว้พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ